ผู้ที่สนใจหารายได้เสริมระหว่างทำงานให้เข้าไปที่ "การลงทุน"

ปืนเล็กยาว


HK





ปืนเวอร์ชั่น : HK416
ประเทศ : GERMANY
กระสุน : 5.56 x 45 MM , 7.62 x 39 MM
เเม็กกาซีน : 30 นัด
ระบบปฏิบัติการ : GAS-OPERATED , ROTATING BOLT
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการรัว : 700-900 RPM นัด/นาที

ระยะหวังผล : 450-500 ม.
น้ำหนัก : 3.3Kg - 3.5Kg
ฟังก์ชัน : กล้องเล็ง ZOOM 1X - 10X , ศูนย์เลเซอร์ , ไฟฉาย , เครื่องยิงระเบิด M203 , เครื่องยิงลูกซอง , เครื่องยิงที่ช็อตไฟฟ้า , มีดปลายปืน M9 BAYONET , กระบอกเก็บเสียง

         ยุทธศาสตร์ของH&Kเปลี่ยนไป ในปี1956 เมื่อบริษัทเสนอปืนเล็กยาวอัตโนมัติ G3เข้าประกวดแข่งขันเป็นปืนเล็กยาวประจำการ ”บุนเดสแวร์” (Bundeswehr:กองทัพบกสหพันธ์ สาธารณรัฐเยอรมนี)และประสบความสำเร็จ G3กลายเป็นอาวุธประจำกายทหารเยอรมันตะวันตกและประเทศเพื่อนบ้าน นับแต่นั้นมาปืนเล็กยาวและปืนกลมือจากH&Kก็แตกรุ่นออกไปอีกนับร้อยรวม ทั้งปืนพก เพื่อรับใช้กองทัพและหน่วยงานรักษากฎหมายทั่วโลก

         อาวุธที่กองทัพไทยคุ้นเคยที่สุดและได้ลิขสิทธิ์มาผลิตเองด้วย คือHK33(ปัจจุบันสรรพาว วุธเลิกผลิตปืนทั้งกระบอกเหลือแต่อะไหล่) ปืนเล็กยาวใช้กระสุน5.56ม.ม.มาตรฐานนาโตที่ถูกพัฒนาในทศวรรษ1960 เพื่อเป็นอาวุธประจำกายทหารราบส่งออกราคาประหยัด ประเทศที่มีศักยภาพพอสามารถซื้อสิทธิบัตรไปผลิตเองได้ เพื่อเป็นเขี้ยวเล็บ ต้านอาวุธจากค่ายโซเวียตระหว่างสงครามเย็น

        HK33เดิมถูกผลิตไว้ถึงสี่แบบ จากการปรับปรุงระบบกลไกของG3 ให้ทำงานง่ายและชิ้นส่วนน้อยลงแต่ยังคงความ เที่ยงตรงไว้ ไม่เปลี่ยน HK33แบบแรกให้ยิงกระสุน7.62X51ม.ม.มาตรฐานนาโต แบบที่สองใช้กระสุนM43ขนาด7.62X39ม.ม.ของโซเวียต แบบที่สามใช้กระสุน5.56X45ม.ม.มาตรฐานนาโตเหมือนM16 และแบบสุดท้ายใช้ยิงกระสุนปืนพกขนาด9X19ม.ม.พาราเบลลัม ถึงจะหนักแต่ทหารที่คุ้นเคยกับHK33พูดตรงกันว่ามันยิงได้แม่นและมั่นใจในการ ทำงานมาก กว่าปืนตระกูลM16

        H&Kขายกิจการต่อให้แผนกอาวุธประจำกายของบริติช แอโรสเปซในปี1991 หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการส่งปืนเล็กยาวG41และG11เข้าแข่งขันในบุนเด สแวร์ ผลของความร่วมมือระหว่างเยอรมันและอังกฤษคือการปรับปรุงระบบการทำงานของปืน เล็กยาวSA 80ให้กองทัพบกอังกฤษ และเมื่อเทคโนโลยีโพลิเมอร์(พลาสติก)ถูกพัฒนาให้ผลิตได้เหนียวและเบาพอรับ ความร้อนแล ะแรงกระแทกของกระสุนได้ G36จึงเป็นผลผลิตอีกชิ้นที่H&Kใช้เป็นหัวหอกรุกตลาดอาวุธปืนเล็ก นอกจากปืนกลมือMP5คู่ใจหน่วยSWATและหน่วยรบพิเศษทั่วโลก

         บริติช แอโรสเปซครอบครองH&Kอยู่จนถึงปี2002 เมื่อประมาณว่าได้ราคาดีและมีคนสู้ราคาจึงขายกิจการกลับสู่กลุ่มนายทุน เยอรมันที่รวม ตัวกันกลับมาซื้อคืน ในการทำธุรกิจนั้นมุ่งกำไรก็จริงแต่ เมื่อบางครั้งเมื่อถึงเวลาศักดิ์ศรีก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอดีตคู่ปรปักษ์ที่รบกันอย่างโชกโชนมาแล้วถึงสองสงครามใหญ่ H&Kเป็นความภาคภูมิใจของเยอรมัน ดังนั้นคนเยอรมันต้องเป็นเจ้าของ

         ปัจจุบันบริษัทตั้งอยู่ในเมืองโอแบร์นดอร์ฟแห่งรัฐบาเดน-ววร์ตเตมแบร์ก มีบริษัทลูกอยู่ในอังกฤษ,ฝรั่งเศสและสหรัฐ ด้วยคติพจน์ว่า”ต้องไม่เป็นรอง”(No compromise) อันแสดงถึงคุณภาพและนวัตกรรมด้านอาวุธปืนเล็กชัดเจน ปืนเล็กจากH&Kต้องไม่เป็นรองทั้งความแม่นยำ การทำงานของกลไกและความง่ายในการใช้งานและบำรุงรักษา ถึงพร้อมทุกด้านโดยไม่ทำให้คุณสมบัติด้านใดด้านหนึ่งเสียไป ประกาศณียบัตรสำคัญคือการถูกเลือกใช้ในหน่วยรบพิเศษต่างๆนอกเยอรมนี คือSAS(Special Air Service)ของอังกฤษ,หน่วยSEALแห่งกองทัพเรือ,Delta Forceแห่งกองทัพบก,หน่วยคอมมานโดสำนักสืบสวนกลางFBI ของสหรัฐ และประเทศอื่นๆทั่วโลกรวมทั้งกองทัพไทย ที่ขณะนี้มีปืนเล็กยาวจากH&Kประจำการหลายแบบ อาทิHK33,PSG-1,MP5และล่าสุดคือG36

         ความโดดเด่นของปืนจากH&K นอกจากการใช้วัสดุอื่นนอกจากเหล็กสร้างปืนคือระบบการทำงานของลูกเลื่อน กลไกสำคัญเพื่อส่งกระสุนเข้ารังเพลิง จุดระเบิดและคัดปลอกทิ้งหลังหัวกระสุนพุ่งพ้นลำกล้อง เป็นเสมือนตัวการชี้ขาดความเป็นความตายของทหารหากกระสุนขัดลำกล้องในวินาที วิกฤติ จุดเด่นของลูกเลื่อนในดีไซน์ของH&Kคือมันใช้ระบบโบลว์แบ็คหน่วง เวลา(delayed blowback) จากลูกเลื่อนมีลูกกลิ้งคู่ฝังซ้ายขวาช่วยให้ปืนยิงได้เสถียรทั้งในนัดแรกและ นัดต่อๆม า ระบบนี้มีในHK33และปืนรุ่นต่อมาอีกหลายรุ่น รวมทั้งHK416ที่พัฒนากลไกจนแทบจะไว้วางใจได้ที่สุดแล้วในขณะนี้



_____________________________________________________________

M16




ปืนเวอร์ชั่น : M16A1,M16A2,M16A3,M16A4
ประเทศ : America
กระสุน : 5.56 x 45 MM , 7.62 x 39 MM
เเม็กกาซีน : แล้วแต่แบบ
ระบบปฏิบัติการ : GAS-OPERATED , ROTATING BOLT
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการรัว : 600-900 RPM นัด/นาที
ระยะหวังผล : 460-550 ม.
น้ำหนัก : แล้วแต่แบบ
ฟังก์ชัน : กล้องเล็ง ZOOM 1X - 10X , ศูนย์เลเซอร์ , ไฟฉาย , เครื่องยิงระเบิด M203 , เครื่องยิงลูกซอง , เครื่องยิงที่ช็อตไฟฟ้า , มีดปลายปืน M9 BAYONET , กระบอกเก็บเสียง

นับแต่ประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศเอกราชจากประเทศอังกฤษได้สำเร็จ กองทัพสหรัฐฯได้ประจำการปืนเล็กยาวแบบคาบศิลาเป็นจำนวนมากจนเมื่อล่วงเข้าสู่ยุคของกระสุนแบบปลอกโลหะและดินควันน้อย กองทัพสหรัฐฯจึงได้ทยอยเปลี่ยนจากปืนคาบศิลามาเป็นปืนเล็กยาวที่ใช้กระสุนแบบครบนัดทั้งหมด โดยได้เลือกประจำการปืนเล็กยาวขนาด .30 นิ้วมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1892 ปืนเล็กยาวรุ่นแรกที่ประจำการ คือ ปืน Krag-Jørgensen ขนาด .30-40 Krag ของประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นเล็กยาวแบบลูกเลื่อนบริหารมือ แต่เนื่องจากปืนรุ่นนี้มีปัญหาหลายประการ ภายหลังกองทัพสหรัฐฯจึงได้ซื้อสิทธิบัตรปืนเล็กยาวGewehr 98 จากบริษัทเมาเซอร์ ประเทศเยอรมนี พร้อมทั้งนำระบบดึงขึ้นเข็มแทงชนวนของปืน Krag มาติดตั้งเพิ่มเข้าไปและผลิตเป็นปืน M1903 Springfield และได้นำกระสุนขนาด 8 มม. เมาเซอร์ (7.92×57 มม.) มาทำการดัดแปลงให้ใช้กับหัวกระสุนขนาด .30 นิ้ว (7.62 มิลลิเมตร) เดิมของปืน Krag ต่อไป พร้อมทั้งยืดปลอกออกเป็น 63 มิลลิเมตรทำให้บรรจุดินส่งได้มากขึ้นและเรียกว่ากระสุนใหม่นี้ว่า .30-06 Springfield (7.62×63 มม.)


ปืน T20 ตัวต้นแบบ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพฯสหรัฐฯได้เริ่มทยอยโอนปืน M1903 Springfield ไปให้กองกำลังท้องถิ่นและบางส่วนได้นำมาดัดแปลงเป็นปืนเล็กยาวซุ่มยิง M1903A4 ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเกาหลี ในขณะเดียวกันก็ได้ทยอยบรรจุปืนเล็กยาวบรรจุเอง M1 Garand เข้าประจำการ โดยปืน M1 Garand ออกแบบโดยจอห์น ซี กาแรนด์ ซึ่งในช่วงแรกออกแบบให้ใช้กับกระสุนขนาด 7×51 มิลลิเมตร (.276 Pedersen) และสามารถบรรจุในคลิปกระสุนได้ 10 นัด แต่เมื่อกองทัพสหรัฐฯรับมาพิจารณาใน ค.ศ.1932 ก็มีคำสั่งให้เปลี่ยนมาใช้กระสุน .30-06 ทำให้ปืนบรรจุกระสุนได้เพียง 8 นัด และรับเข้าประจำการเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1936 ให้ชื่อเป็นทางการว่า United States Rifle, Caliber .30, M1 และใช้งานมาจนถึงสงครามเกาหลี โดยในระหว่างที่ปืน M1 Garand ประจำการนี้ กองทัพสหรัฐฯก็ได้มีโครงการ T20 ทำการดัดแปลงปืน M1 Garand ให้บรรจุกระสุนได้มากขึ้นโดยใช้ซองกระสุน 20 นัดของปืนเล็กกล M1918 Browning Automatic Rifle (BAR) และทำการเพิ่มระบบยิงแบบอัตโนมัติเข้าไปกลายเป็นโครงการ T37


ปืน M14

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการวิจัยดินขับแบบใหม่สำเร็จจนสามารถใช้ในปริมาณน้อยลงแต่ให้แรงขับเท่าเดิม กองทัพสหรัฐฯจึงได้นำกระสุน .30-06 มาทำการลดความยาวปลอกจาก 63 มิลลิเมตรลงเป็น 51 มิลลิเมตร เพื่อนำไปใช้กับปืนในโครงการ T37 กลายเป็นโครงการ T44 แล้วในที่สุดก็ประจำการเป็นปืน M14 และ M15 ในปี ค.ศ. 1957 ส่วนกระสุน 7.62 มิลลิเมตรของปืน M14 ก็กลายเป็นกระสุน 7.62×51 มม. นาโต ซึ่งเป็นกระสุนมาตรฐานของปืนกลและปืนเล็กยาวหลายรุ่นในปัจจุบัน นอกจากนี้บริษัทวินเชสเตอร์ยังได้นำกระสุน 7.62 มม. นาโตนี้ไปผลิตขายให้พลเรือนในชื่อว่า .308 Winchester อีกด้วย

หลังจากปืน M14 ประจำการได้ไม่นานก็มีคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปืนดังกล่าว ทั้งปัญหาเรื่องตัวปืนและกระสุนมีน้ำหนักมากทำให้ทหารพกพาไปได้น้อย อีกทั้งมีปัญหาเรื่องแรงสะท้อนถอยหลังสูง โดยเฉพาะเมื่อแบบอัตโนมัติจะไม่สามารถควบคุมปืนได้เลย ทำให้ปืน M14 มีอายุการใช้งานได้ไม่นาน ในขณะเดียวกันก็ทำให้โครงการวิจัยปืนเล็กยาวที่ใช้กระสุนขนาดหน้าตัดเล็กแต่มีความเร็วสูงที่ตั้งมาก่อนหน้านั้นมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งโครงการนี้มีชื่อว่าProject SALVO ตั้งขึ้นมาแต่ ค.ศ. 1948 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างอาวุธประจำกายทหารราบที่ใช้กระสุนขนาด .22 ความเร็วสูง มีระยะหวังผล 300 เมตรขึ้นไป ภายหลังจึงได้มีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่าต้องมีน้ำหนักเบา เลือกยิงได้ทั้งแบบทีละนัดและยิงเป็นชุด และต้องยิงเจาะหมวกเหล็กได้ในระยะ 500 เมตร


ปืน AR-10

ใน ค.ศ. 1957 บริษัทอาร์มาไลท์ (Armalite) ซึ่งเป็นแผนกอาวุธปืนของบริษัท Fairchild Aircraft Corp. ได้เข้าร่วมโครงการนี้ โดยยูจีน สโตนเนอร์ได้นำแบบปืน AR-10 ขนาด 7.62 มิลลิเมตรมาย่อส่วนเป็นปืน AR-15 เพื่อใช้กับกระสุน .223 เรมิงตัน ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทเรมิงตัน อาร์มส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับมอบหมายจากกองทัพสหรัฐฯให้ออกแบบและวิจัยกระสุนชนิดใหม่ที่จะนำมาใช้กับปืนเล็กยาวจู่โจมในโครงการ SALVO นี้ และกองทัพสหรัฐฯได้รับแบบปืน AR-15 มาพิจารณา


กระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO บรรจุในแมกกาซีนความจุ 30 นัด


ซองกระสุนแบบ STANAG 20 นัดผลิตโดยบริษัท Colt ประเทศสหรัฐอเมริกา วางเทียบซองกระสุน 30 นัดของบริษัท H&K ประเทศเยอรมนี

ใน ค.ศ. 1958 บริษัทอาร์มาไลท์ได้รับคำวิจารณ์และคำสั่งแก้ไขปืน AR-15 จากทางกองทัพสหรัฐฯหลายครั้งจนถอดใจและประสบปัญหาทางการเงิน จึงได้ตัดสินใจขายแบบพิมพ์เขียวปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) และได้รับการพัฒนาปรับปรุงจนเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ. 1964


ปืน M16 ผลิตในปีค.ศ. 1963 สังเกตปลอกลดแสง (Flash Hider) ยังเป็นแบบ 3 แฉก (Three-prong Flash Hider) เหมือนของปืน AR-15 อยู่ และไม่มีคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) ติดตั้งมาให้
ส่วนทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 ไปพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้มีการเปลี่ยนปลอกลดแสง เพิ่มชุดส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) และเพิ่มอัตราครบรอบเกลียวให้เร็วขึ้นจาก 14 นิ้วเป็น 12 นิ้ว เพื่อรองรับการใช้กระสุนส่องวิถี M196 ที่มีหัวกระสุนยาวกว่ากระสุนธรรมดาแบบ M193 และเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า ""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก

ปืน M16A1 ผลิตในปีค.ศ. 1967 สังเกตปลอกลดแสง (Flash Hider) จะเป็นซี่คล้ายกรงนกมีรูลดแสง 4 รู ("Bird Cage" Flash Hider) และมีคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) ติดตั้งมาให้แล้ว

คันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) มีในปืน M16A1 เป็นต้นมา ใช้สำหรับผลักหน้าลูกเลื่อนให้เข้าที่ก่อนทำการยิง ในกรณีที่เกิดการติดขัดจากเขม่าที่เกิดจากการยิง
จะเป็นแบบอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto) กล่าวคือปืนจะทำการยิงตามวงรอบการทำงานไปเรื่อยๆจนกว่าผู้ยิงจะเลิกเหนี่ยวไกปืนหรือจนกว่ากระสุนจะหมดซองกระสุน มิใช่ยิงเป็นชุดเพียง 3 นัดเท่านั้น ไม่ว่าผู้ยิงจะเหนี่ยวไกค้างไว้หรือไม่ก็ตาม
ในปีค.ศ. 1994 ทางบริษัทโคลต์ได้มีการปรับปรุงสมรรถภาพของปืน M16A2 อีกครั้งเป็นรุ่น A3 และ A4 ตามลำดับ โดยปืน M16A3 นั้นสามารถยิงได้สองโหมดคือ ยิงทีละนัด (Semi-Auto) และยิงอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto) เท่านั้น ส่วนปืน M16A4 นั้นจะยิงได้สองโหมดนี้คือ โหมดยิงทีละนัด (Semi-Auto) และแบบอัตโนมัติชุดละ3นัด (Three-Burst Auto) โดยรุ่น A4 มีลักษณะภายนอกคล้ายกับต่อมาในปีค.ศ. 1981 บริษัทโคลต์จึงได้พัฒนาและปรับปรุงปืน M16A1 จนออกมาเป็นปืน M16A1E1 เพื่อรองรับกระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATOรุ่นใหม่คือกระสุน M855 หรือ SS-109 ของบริษัท FN ซึ่งมีความแม่นยำและอานุภาพมากกว่าเดิม จนในปีค.ศ. 1982 หน่วย US Department of Defense (US DoD)จึงได้บรรจุปืน M16 รุ่นนี้เข้าประจำการและเรียกในชื่อใหม่ว่า "US Rifle, 5.56mm, M16A2" ซึ่งปืน M16A2 นี้สามารถยิงได้เพียง 2 รูปแบบ คือ แบบกึ่งอัตโนมัติ (Semi-Auto) ครั้งละ 1 นัด/ครั้ง และแบบอัตโนมัติชุดละ 3 นัด (Burst Auto) โดยมีคันบังคับการยิงให้จัดเลือกอยู่ทางด้านซ้ายเหนือด้ามปืน ซึ่งต่างจากปืน M16A1 ตรงที่แบบอัตโนมัติของรุ่น A1  A2 และ A3 ทุกประการ เพียงแต่สามารถถอดด้ามหูหิ้ว (Flat Top Receiver) ออกเพื่อใช้ราง Picatinny ในการติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆได้ ในขณะที่รุ่น A2 และ A3 จะเป็นแบบติดตั้งตายตัว
ในช่วงทศวรรษ 1980 ปืนกลเบา M60 จะถูกแทนที่ด้วยปืนกล SAW M249 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO รุ่น M855 เช่นเดียวกับปืน M16A2 เพื่อเพิ่มอานุภาพของอาวุธและลดภาระในการจัดส่งกระสุนและเสบียงเข้าสู่สนามรบของหน่วยพลาธิการ ครั้นถึงทศวรรษ 1990 ปืน M16A2 จำนวนมากเริ่มถูกแทนที่ด้วยปืน M4 Carbine ซึ่งปรับปรุงมาจากปืน M16 เพื่อเพิ่มสมรรถนะและความคล่องตัวกับการรบในที่แคบหรือในอาคารต่างๆ


__________________________________________________________

STEYR AUG




ประเทศ : Australia
กระสุน : 5.56 x 45 MM , 7.62 x 39 MM
เเม็กกาซีน : 30-42 นัด
ระบบปฏิบัติการ : GAS-OPERATED , ROTATING BOLT
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการรัว : 680-850 RPM นัด/นาที

ระยะหวังผล : 450-600 ม.
น้ำหนัก : 3.6 Kg
ฟังก์ชัน : กล้องเล็ง ZOOM 1X - 10X , ศูนย์เลเซอร์ , ไฟฉาย , เครื่องยิงระเบิด M203 , เครื่องยิงลูกซอง , เครื่องยิงที่ช็อตไฟฟ้า , กระบอกเก็บเสียง


             STEYR AUG เป็นปืนเล็กยาวของประเทศออสเตรีย ออกแบบขึ้นในปี ค.ศ. 1970 โดย Steyr Mannlicher GmbH & co KG ( หรือ Steyr Daimler- Puch ในขณะนั้น ) AUG ย่อมาจาก ( Armee Universal Gewehr หรือ Universal Army Rifle ในภาษาอังกฤษ ) หรือน่าจะแปลเป็นไทยได้ว่าปืนไรเฟิลอเนกประสงค์สำหรับกองทัพ เจตนาดั้งเดิมเพื่อผลิตมาทดแทนปืน FN FAL หรือในรหัส Stg 58 ที่ประจำการอยู่ในขณะนั้น โดยมีรหัสทางการว่า Stg 77 เลข 77 บอกถึงปีที่ AUG เข้าประจำการ แต่ในความเป็นจริงแล้ว AUG เข้าประจำการในกองทัพ ปี ค.ศ.1978 AUG ประจำการในกองทัพบกของออสเตรียรวมถึงหน่วยงานตำรวจ รวมถึงในกองทัพของอาเจนติน่า , ออสเตรเลีย, ( บรรจุเข้าในปี ค.ศ.1985 ภายหลังออสเตรเลียได้ซื้อแบบแผนไปผลิตเองด้วย ) นิวซีแลนด์ , โบลิเวีย , เอคควาดอร์ (1988 ) , ไอร์แลนด์ , ลักซ์เซมเบอร์ก , ซาอุดิอาระเบีย , ตูนิเซีย ( 1978 ) , ปากีสถาน รวมถึงตม.ของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1988

AUG ได้รับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูงมีลำกล้องหลากหลายขนาด เพื่อการใช้งานในสภาวะที่แตกต่างกันไป ชิ้นส่วนของ AUG จะผลิตขึ้นจากโพลิเมอร์ และมีส่วนประกอบที่เป็นเหล็กเฉพาะที่ต้องการความแข็งแรง


AUG A1 ประกอบด้วยชิ้นส่วนหลัก 6 ชิ้นได้แก่ ลำกล้อง , โครงปืนด้านบนทำเป็นหูหิ้วและมีกล้องเล็งติดในตัว , ลูกเลื่อน และห้องลูกเลื่อน , ชุดลั่นไก , พานท้ายและแม็กกาซีน ระบบการทำงานของ AUG เป็นระบบ GAS operated ยิงในสภาวะลูกเลื่อนปิด กระบอกสูบที่อยู่ทางด้านขวาของปืน ซึ่งจะเป็นตัวรับแรงดันของแก็สที่เกิดจากการเผาไหม้ไปผลักไกด์ร็อดข้างขวา เพื่อดันนกปืนให้ขัดกับเซียร์ไว้ หลังจากเคลื่อนที่สุดระยะแล้วไกด์ร็อดที่ติดอยู่กับชุดลูกเลื่อนก็จะวิ่ง กลับไปข้างหน้าด้วยพลังงานจากสปริงไกด์ร็อดพร้อมพากระสุนเข้ารังเพลิง และหน้าลูกเลื่อนก็จะหมุนตัวตามร่องบังคับให้เข้าไปขัดกลอน รอการเหนี่ยวไกนัดต่อไป 
การ ยิงนัดแรกใช้วิธีการดึงคันลูกเลื่อนให้ถอยหลังแล้วปล่อยให้ลูกเลื่อนพากระสุ นบรรจุเข้ารังเพลิง แต่ถ้าเป็นในรอบของการยิงระบบปฏิบัติการจะทำงานโดยหลังจากการยิงในนัดแรกไป แล้ว แก็สที่เกิดจากการเผาไหม้จะไหลย้อนกลับมาผลัก ในระบบการยิง AUG สามารถยิงได้ทั้งแบบเซมิออโต้หรือฟูลออโต้ บังคับโดยการเหนี่ยวไกเท่านั้น คือหากบีบไกเข้ามาประมาณครึ่งทางก็จะเป็นการยิงแบบเซมิออโต้แต่ถ้าหากบีบไก เข้ามาจนสุดปืนก็จะยิงในแบบฟูลออโต้ทันที ทำให้ใช้งานง่ายแต่ก็ต้องระมัดระวังอยู่เหมือนกัน มีระบบห้ามไกแบบกลอนขวางติดตั้งอยู่ การห้ามไกจะเป็นการตัดการทำงานของชุดลั่นไก ตัวปรับแรงดันแก็สมี 3 ระดับ แบบเปิดระดับ 1 ใช้ยิงในสภาวะปกติ แบบเปิดระดับ 2 ใช้ยิงในสภาวะอากาศเลวร้าย หรือมีฝุ่นละอองดินทรายมากๆ เช่นในการรบในพื้นที่ทะเลทรายเป็นต้น ตำแหน่ง 3 เป็นระดับปิด ใช้กับการยิงลูกระเบิดจากปากกระบอกโดยตรง
แม็ก กาซีนเป็นแบบเรียงเหลื่อมบรรจุลูกขนาด 5.56 x 45 มม. NATO หรือ .223 ได้ 30 นัด น้ำหนักแม็กฯเปล่าอยู่ที่ 130 กรัม ( 4.59 ออนซ์ ) ในส่วนของเวอร์ชั่นที่เป็นปืนกลเบาจะใช้แม็กฯขนาดจุ 42 นัด หลังจากการยิงกระสุนนัดสุดท้ายแล้วลูกเลื่อนจะเปิดค้างไว้



ลำกล้องสามารถถอดเปลี่ยนได้ง่าย ผลิตขึ้นจากเหล็ก Cold hammer forged ลำกล้องและท่อทางเดินแก็สทั้งหมดชุบโครเมี่ยม ลำกล้องมี 6 ร่องเกลียวเวียนขวาหมุนครบรอบที่ 9 นิ้ว หรือ 228 มม. ปลอกลดแสงติดตั้งมาให้กับลำกล้องขนาด 350 มม. ( 13.8 นิ้ว ) ,407 มม. (16 นิ้ว ) , และ 508 มม. (20 นิ้ว ) และสำหรับขนาดลำกล้องยาว 621 มม. ( 24 นิ้ว ) จะติดตั้ง Muzzle Brake ที่ทำหน้าที่เป็นปลอกลดแสงและคอมเพนเซเตอร์ในตัว และสำหรับลำกล้องขนาด 407 มม.และ 508 มม. ยังสามารถยิงลูกระเบิดจากปากลำกล้องได้ สำหรับขนาดมาตรฐานที่ใช้ในกองทัพจะเป็นขนาดลำกล้องยาว 508 มม. และยังมี 2 อ็อฟชั่นให้เลือกคือ แบบลำกล้องติดศูนย์หน้าแบบศูนย์ตายมาให้ และอีกแบบคือติดตั้งเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม. M 203 มาให้
โครง ปืนผลิตขึ้นจากอลูมิเนียมอัลลอยด์ ด้านบนโครงปืนเป็นหูหิ้วในตัวพร้อมกล้องเล็งกำลังขยาย 1.5 เท่า ผลิตโดย ซวารอฟสกี้ กล้องเล็งถูกตั้งระยะยิงไว้ที่ 300 ม. นอกจากนี้ยังมีศูนย์เปิดทั้งหน้า – หลัง ติดตั้งอยู่ด้านบนของศูนย์กล้องในกรณีฉุกเฉิน เช่นสภาพอากาศเลวร้ายหรือศูนย์กล้องเสีย นอกไปจากนี้หากต้องการติดตั้งอุปกรณ์เสริมอื่นๆยังสามารถสั่งรางเสริมที่ สามารถติดอุปกรณ์มาตรฐาน NATO ได้ต่างหาก ด้ามปืนผลิตขึ้นจากไฟเบอร์กลาส – โพลิเมอร์ ( Polyamide 66 ) โกร่งไกออกแบบมาให้กว้างสามารถสวมถุงมือยิงได้


นอกจากนี้ Steyr ยังได้ผลิตรุ่น AUG P สำหรับเชิงพาณิชย์เพื่อจำหน่ายให้กับบุคคลทั่วไป ( ในบางประเทศที่อนุญาตไรเฟิลชนวนกลางกึ่งอัตโนมัติ สำหรับประเทศไทยไม่อนุญาตครับ ) ซึ่งลำกล้องจะยาว 407 มม. ( 16 นิ้ว ) และมีกลไกการยิงแบบกึ่งอัตโนมัติเท่านั้น ในชุดของปืน 1 กระบอกจะประกอบด้วย แม็กกาซีนขนาดมาตรฐาน 4 แม็กฯ , ฝาปิดปากกระบอกปืน , ชุดลูกเลื่อน 2 ชุดทั้งคนถนัดซ้ายและขวา , ลูกดัมมี่ , อุปกรณ์ทำความสะอาด , สายสะพายปืน

AUG ยังได้ผลิตปืนกลเล็กที่ใช้กระสุน 9 x 19 มม. พาราฯ ด้วย เพียงแต่ระบบปฏิบัติการเปลี่ยนเป็น โบลว์แบ็ค ใช้ชื่อรุ่นว่า AUG SMG มีลำกล้องยาว 420 มม. ( 16.5 นิ้ว ) 6 ร่องเกลียวเวียนขวาครบรอบที่ระยะ 250 มม. ( 9.8 นิ้ว ) ติดตั้งคอมเพนเซเตอร์ และเปลี่ยนมาใช้แม็กกาซีนบรรจุ 25 นัด ที่เอามาจากปืน Steyr MPi 81 กับ TMP , รวมถึงชุดคอนเวอร์ชั่นที่ใช้เปลี่ยน AUG ธรรมดาให้กลายเป็นปืนพกกลได้ก็มีจำหน่าย ในชุดประกอบด้วย ลำกล้อง , ลูกเลื่อน และชุดแปลงแม็กกาซีน
Steyr AUG เป็นปืนไรเฟิลสไตล์ Bullpup ที่ได้รับความนิยมสูงมากและจัดเป็นไรเฟิลที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง ด้วยความยืดหยุ่นในการนำไปใช้งาน ทำให้ได้รับการยอมรับและถูกบรรจุเข้าใช้งานในกองทัพในหลายทวีปทั่วโลก จนถึงในปัจจุบัน AUG ได้ปรับปรุงมาจนถึงเวอร์ชั่น A3 แล้ว โดยก่อนหน้านี้ Steyr ผลิต AUG A2 ขึ้นในปี ค.ศ. 1997 รูปทรงโดยรวมเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย โดยด้านบนโครงปืนจะเป็นแบบเรียบและมีรางติดกล้องเล็งมาให้ โดยตัดกล้องเล็งแบบติดตายตัวออกไป และในปี ค..ศ. 2005 ก็ได้เปิดตัว AUG A3 ออกมา โดยรุ่นนี้จะมีรางแบบ picatinny ติดมาให้ทั้ง 3 ด้าน บริเวณส่วนด้านหน้าของโครงปืน และด้านบนยังมีรางครอบเอาไว้และติดตั้งอุปกรณ์เสริมได้ทุกชนิดตามมาตรฐาน NATO

AUG A3




_________________________________________________________

AK




ประเทศ : Russia
กระสุน :  7.62 x 39 MM
เเม็กกาซีน : 30-42 นัด
ระบบปฏิบัติการ : GAS-OPERATED , ROTATING BOLT
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการรัว : 600 RPM นัด/นาที
ระยะหวังผล : 300 ม.
น้ำหนัก : 4.3 Kg
ฟังก์ชัน : กล้องเล็ง ZOOM 1X - 10X , ศูนย์เลเซอร์ , ไฟฉาย , มีดปลายปืน 

         ปืน AK-47 ได้รับการออกแบบครั้งแรกในปีค.ศ. 1941 และพัฒนาจนเป็นรูปแบบมาตรฐานในปี ค.ศ. 1947 โดยได้รับต้นแบบและแรงบันดาลใจมาจากปืนไรเฟิลจู่โจมอัตโนมัติ MP44 หรือปืน STG44 (STG44 : Sturmgewehr Model of 1944) ซึ่งเป็นปืนไรเฟิลจู่โจมประจำกายของกองทัพนาซีเยอรมันที่ใช้ในช่วงสมรภูมิเลือด ณ เมืองสตาลินกราด หรือเมืองวอดโกกราด ในปัจจุบันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นปืนไรเฟิลอัตโนมัติที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นเมื่อเทียบกับปืนไรเฟิลอัตโนมัติของชาติอื่นๆในช่วงเดียวกัน และตัวเขาเองก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บด้วยปืนชนิดนี้ด้วย ซึ่งเขาก็เห็นว่าไม่ยุติธรรมเลยที่กองทัพนาซีเยอรมันได้ใช้อาวุธปืนอัตโนมัติอันทันสมัยมากมายหลายรุ่น
         ตั้งแต่ปืนไรเฟิลแบบลูกเลื่อนบริหารมือ (Bolt Action) Kar98k ปืนกลมือ MP40 ปืนไรเฟิลจู่โจมอัตโนมัติ MP44 ปืนกลเบา MG34 และปืนกลเบา MG42 รวมทั้งรถถังยานเกราะอีกมากมาย ในขณะที่กองทัพโซเวียตกลับมีเพียงปืนไรเฟิลแบบลูกเลื่อน Mosin-Nagant อันคร่ำครึมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ SVT-40 กับปืนกลมือ PPSch-41 เท่านั้น ส่วนปืนกลระดับหมู่ก็มีเพียงปืนกล Degtyarev-Pekhotny 28เท่านั้น โดยรถถังยานเกราะกับยุทโธปกรณ์ต่างๆของกองทัพโซเวียตในขณะนั้น ถ้าไม่เป็นของเก่าตกค้างมาจากสงครามโลกครั้งที่แล้วส่วนมากก็อยู่ในสภาพเก่าและไม่พร้อมใช้เนื่องจากขาดแคลนงบประมาณซ่อมแซม

           ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรต่างได้ยึดอาวุธและเทคโนโลยีของกองทัพนาซีเยอรมันไปใช้ในการผลิตอาวุธของตน โดย Mikhail Kalashnikov เองก็ได้นำรูปทรงและระบบกลไกของปืนไรเฟิลอัตโนมัติ STG44 ปืน SVT-38/SVT-40 รวมทั้งกระสุนขนาด 7.62x54 mm. R และขนาด7.92x33 mm. Kurz มาเป็นต้นแบบในการพัฒนา โดยได้มีการออกแบบและพัฒนาในเรื่องของกระสุนก่อน ซึ่งกระสุนมาตรฐานของกองทัพโซเวียตในขณะนั้นคือกระสุนขนาด 7.62x54 mm. R ซึ่งประจำการมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1891
        โดยได้พัฒนาออกมาเป็นกระสุนขนาด 7.62x41 mm. M1943 และมีการพัฒนาปืนไรเฟิลอัตโนมัติขึ้นมาใช้กับกระสุนขนาดนี้ด้วยคือปืน AK-46 ซึ่งยังมีรูปทรงคล้ายกับปืน STG44 อยู่มาก แต่เนื่องจากประสิทธิภาพของปืนและกระสุนไม่ดีเท่าที่ควรนักจึงได้มีการปรับปรุงปืนและกระสุนใหม่อีกครั้ง โดยมีการปรับปรุงกระสุนก่อนจนเป็นกระสุนขนาด 7.62x39 mm. M43 ซึ่งได้นำมาใช้ครั้งแรกกับปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ SKS (SKS : Samozaryadnyj Karabin Simonova) หรือปืนเซกาเซ่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก่อน พร้อมทั้งนำปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AK-46 มาปรับปรุงระบบกลไกและรูปทรงอีกครั้ง โดยได้เอารูปทรงของปืน SKS เข้ามาร่วมในการออกแบบด้วยจนออกมาเป็นปืน AK-47 ที่มีรูปทรงอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

คุณสมบัติของปืน AK-47

          ปืน AK-47 เองเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นปืนที่มีน้ำหนักเบาพอสมควร มีขนาดสั้นกะทัดรัดและมีขนาดกระสุนที่เหมาะสม สามารถเลือกทำการยิงได้ 3 โหมดคือ Safe > Full Auto > Burst และเป็นปืนที่สามารถถอดล้างได้ง่ายมาก นับเป็นปืนเล็กยาวจู่โจมแบบหนึ่งที่ยังมีการใช้อย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยมีการผลิตปืน AK-47 และปืนรูปแบบอื่นๆที่พัฒนาโดยใช้ปืน AK-47 เป็นต้นแบบเป็นจำนวนมากกว่าปืนเล็กยาวจู่โจมชนิดอื่นๆ และยังคงมีการผลิตและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
         ต่อมาในปีค.ศ. 1959 ก็ได้มีการนำปืน AK-47 มาทำการแก้ไขปรับปรุงระบบกลไกและวิธีการผลิตต่างๆให้ดีขึ้นและเรียกในชื่อใหม่ว่า AKM (AKM : Avtomat Kalashnikova Modernizirovannyj หรือ Kalashnikov Automatic rifle, Modified) ซึ่งปืนรุ่นนี้จะมีการปั้มขึ้นรูปโครงปืนด้วยเครื่องจักรและมีการทำสัญลักษณ์ด้วยการปั้มดุนแผ่นเหล็กโครงปืนให้เป็นเพียงช่องเล็กๆรวมทั้งมีการดัดแปลงปากลำกล้องให้เป็นรูปเฉียงปากฉลามเพื่อลดอาการสะบัดขึ้นเมื่อทำการยิง ซึ่งผิดกับกระบวนการผลิตของปืน AK-47 ที่มีการผลิตด้วยการนำแผ่นเหล็กมาเซาะร่องและปั้มดุนโครงปืนเข้าไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เหนือช่องใส่ซองกระสุน และปากลำกล้องตัดตรงทำให้เวลายิงด้วยระบบอัตโนมัติ ปืนจะสะบัดเป็นอย่างมาก

          ต่อมาในปีค.ศ. 1974 กองทัพโซเวียตก็ได้มีการนำปืน AK-47 และปืน AKM มาทำการปรับปรุงและพัฒนาอีกครั้งจนเป็นปืน AK-74 และนำมาใช้กับกระสุนขนาด 5.45x39 mm. รุ่น M74 หรือ 5N7 ซึ่งได้รับพัฒนาและปรับปรุงมาจากกระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO ของกองทัพสหรัฐอเมริกาและกองกำลัง NATO สามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมได้ เช่น ปืนยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม.แบบติดตั้งใต้ลำกล้อง (Underbarrel Grenade Launcher) รุ่น GP-25 ดาบปลายปืน (Bayonet) ฯลฯ เป็นต้น






__________________________________________________________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น