ผู้ที่สนใจหารายได้เสริมระหว่างทำงานให้เข้าไปที่ "การลงทุน"

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

ยาสามัญประจำบ้าน

1. กลุ่มยาบรรเทาปวดลดไข้ ยาเม็ดสำหรับบรรเทาปวด และลดไข้ แอสไพริน ยาเม็ดและยาน้ำบรรเทาปวดลดไข้ พาราเซตามอล ยาเม็ดมีขนาด 500 มก. และขนาด 325 มก พลาสเตอร์ช่วยบรรเทาปวด

2. กลุ่มยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก ยาเม็ดแก้แพ้ลดน้ำมูก คลอร์เฟนิรามีน

3. กลุ่มยาแก้ไอ ขับเสมหะ ยาน้ำแก้ไอ ขับเสมหะสำหรับเด็ก ยาแก้ไอน้ำดำ

4. กลุ่มยาดมหรือยาทาแก้วิงเวียน หน้ามืด คัดจมูก ยาดมแก้วิงเวียน เหล้าแอมโมเนียหอม ยาดมแก้วิงเวียน และแก้คัดจมูก ยาทาระเหย บรรเทาอาการคัดจมูกชนิดขี้ผึ้ง

5. กลุ่มยาแก้เมารถ เมาเรือ ยาแก้เมารถ เมาเรือ ไดเมนไฮดริเนท

6. กลุ่มยาสำหรับโรคปาก และลำคอ ยากวาดคอ ยารักษาลิ้นเป็นฝ้า เยนเชี่ยนไวโอเลต ยาแก้ปวดฟัน ยาดมบรรเทาอาการระคายคอ

7. กลุ่มยาแก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ยาธาตุน้ำแดง ยาเม็ดแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ โซดามิ้นท์ ยาขับลม ยาน้ำแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ โซเดียมไบคาร์บอเนต ยาทาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ทิงเจอร์มหาหิงค์ ยาเม็ดลดกรดอะลูมินา แมกนีเซีย ยาน้ำลดกรดอะลูมินา-แมกนีเซียม

8. กลุ่มยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ท้องเสีย ผงน้ำตาลเกลือแร่

9. กลุ่มยาระบาย ยาระบายกลีเซอรีน ชนิดเหน็บทวารหนักสำหรับเด็ก ยาระบายกลีเซอรีน ชนิดเหน็บทวารสำหรับผู้ใหญ่ ยาระบายแมกนีเซีย ยาระบายมะขามแขก ยาระบายโซเดียมคลอไรด์ ชนิดสวนทวาร

10. กลุ่มยาถ่ายพยาธิลำไส้ ยาถ่ายพยาธิตัวกลม มีเบนดาโซล ใช้ถ่ายพยาธิตัวกลม

11. กลุ่มยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ แมลงกัดต่อย ยาหม่องชนิดขี้ผึ้ง

12. กลุ่มยาสำหรับโรคตา ยาหยอดตา ซัลฟาเซตาไมด์ ยาล้างตา

13. กลุ่มยาสำหรับโรคผิวหนัง ยารักษาหิดเหา เบนซิล เบนโซเอต ยารักษาหิด ขึ้ผึ้งกำมะถัน ยารักษากลากเกลื้อน น้ำกัดเท้า ยารักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง ยาทาแก้ผดผื่นคัน คาลาไมน์ ยารักษาเกลื้อน โซเดียมไทโอซัลเฟต

14. กลุ่มยารักษาแผลติดเชื้อไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ยารักษาแผลน้ำร้อนลวกฟีนอล ยารักษาแผลติดเชื้อซิลเวอร์ ซัลฟาไดอาซีน ครีม

15. กลุ่มยาใส่แผล ยาล้างแผล ยาใส่แผล ทิงเจอร์ไอโอดีน ยาใส่แผล ทิงเจอร์ไทเมอรอซอล ยาใส่แผลโพวิโดน ไอโอดีน ยาไอโซโบรฟิล แอลกอฮอล์ ยาเอทธิล แอลกอฮอล์ น้ำเกลือล้างแผล

โรคที่มากับฤดูหนาว

        1.โรคไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ อาการจะเริ่มด้วยการมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ไอ เมื่อเริ่มมีอาการควรนอนพักผ่อนให้มาก ๆ ดื่มน้ำบ่อย ๆ ถ้าตัวร้อนมากควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว หรือกินยาลดไข้ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-7 วัน แต่หากมีอาการไอมากขึ้น หรือมีไข้สูงนานเกิน 2 วัน ควรไปพบแพทย์
           2.โรคปอดบวม จะมีอาการโดยทั่วไปได้แก่ ไอ เจ็บหน้าอก มีไข้สูง และหายใจหอบ การวินิจฉัยจะกระทำโดยการฉายรังสีเอกซ์และการตรวจเสมหะ ซึ่งหากมีความรุนแรง ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี รวมทั้งเด็กที่มีน้ำหนักตัวน้อย เด็กขาดสารอาหาร เด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด เช่น โรคหัวใจ เป็นต้น
           3.โรคหัด มักเกิดในเด็กโตและวัยรุ่น อาการจะเริ่มจากมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง และจะมีผื่นขึ้นภาย หลังมีไข้ประมาณ 4 วัน จากนั้น ผื่นจะกระจายทั่วตัว โดยผื่นจะจางหายไปภายใน 2 สัปดาห์ เด็กที่ป่วยเป็นหัด ให้แยกออกจากเด็กอื่น ๆ ประมาณ 1 สัปดาห์
           4.โรคหัดเยอรมัน เป็นได้ทั้งผู้ใหญ่ และเด็กเล็ก มีอาการไข้ ออกผื่นคล้ายโรคหัด บางรายอาจไม่มีผื่นขึ้น หากเป็นหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ดังนั้น ควรพบแพทย์ และหยุดงาน หรือหยุดเรียนประมาณ 1 สัปดาห์
           5.โรคอีสุกอีใส มักจะเกิดในเด็ก เมื่อเป็นโรคนี้แล้ว จะมีภูมิต้านทานโรคตลอดชีวิต อาการจะเริ่มด้วยไข้ต่ำ ๆ ต่อมา จะมีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะ หน้า ตามตัว โดยเริ่มเป็นผื่นแดง ตุ่มนูน แล้วเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสหลังมีไข้ 2-3 วัน จากนั้น ตุ่มจะเป็นหนอง และแห้งตกสะเก็ดหลุดออกเองประมาณ 5-20 วัน เด็กนักเรียนที่ป่วยควรหยุดเรียนประมาณ 1 สัปดาห์ เด็กเล็กที่ป่วยควรตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันการอักเสบจากการเกาที่ผื่น
           6.โรคอุจจาระร่วง ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า โรต้าไวรัส มักจะเกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ติดต่อโดยการดื่มน้ำ หรือกินอาหารที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนเข้าไป โดยเด็กจะถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ หรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรง แต่เด็กบางคนอาจขาดน้ำรุนแรง หากมีเด็กในบ้านถ่ายเหลว ควรให้กินอาหารเหลวบ่อย ๆ เช่น น้ำข้าวต้ม น้ำแกงจืด ให้ดื่มนมแม่ สำหรับเด็กที่ดื่มนมผสม ควรผสมนมให้เจือจางลงครึ่งหนึ่งจนกว่าอาการจะดีขึ้น หากยังถ่ายบ่อยให้ผสมสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ให้ดื่มบ่อย ๆ อาการจะกลับเป็นปกติได้ภายใน 8-12 ชั่วโมง หากอาการไม่ดีขึ้นต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที

การเป็นลมชนิดต่างๆ

การเป็นลม  (Fainting)
           คนเป็นลมหน้ามืด  เป็นผลเนื่องมาจากเลือดไปสู่สมองน้อยไปชั่วคราว   สาเหตุอาจเนื่องมาจาก   ร่างกายอ่อนเพลีย  อยู่ในที่แออัดอากาศถ่ายเทไม่สะดวก  การออกแรงหรือกำลังมากเกินไป  อากาศร้อน   อบอ้าว  ตื่นเต้น  ตกใจ  เสียใจมากเกินไป
            อาการ    จะมีอาการวิงเวียน  หน้ามืด  ตามัว  ใจสั่น  ใบหน้าซีดเซียว  มีเหงื่อออกชุ่มตามฝ่ามือ  ฝ่าเท้า  และหน้าผาก  อาจล้มลงและหมดสติ  ชีพจรเบา  หายใจหอบถี่
            การปฐมพยาบาล
    1.    ขยายเสื้อผ้าให้หลวม
    2.    ห้ามคนมุงดูรอบๆ
    3.    เมื่อหมดสติ  ให้ผู้ป่วยนอนลง  ให้ศีรษะต่ำกว่าตัวเล็กน้อยหรือนอนราบก็ได้
    4.    ให้ดมแอมโมเนีย
    5.    เช็ดเหงื่อตามฝ่ามือ  ฝ่าเท้าและหน้าผาก
    6.    ถ้ายังไม่รู้สึกตัว  ควรให้ความอบอุ่น  ทำการผายปอดและรีบส่งโรงพยาบาล

การเป็นลมนั้นมีหลายสาเหตุ    แบ่งออกเป็น
1.  เป็นลมธรรมดา  (Fainting)  เป็นอาการที่เนื่องมาจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอชั่วคราว  จึงทำให้ ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวไปชั่วขณะหนึ่ง
            สาเหตุ   อาจเนื่องมาจาก
 1. ร่างกายอ่อนเพลียมาก  เช่น  อดนอน  หรือตรากตรำทำงานมากเกินไป
 2. ขาดอากาศบริสุทธิ์ เช่น ทำงานอยู่ในที่ที่มีคนอยู่หนาแน่น   ในห้องที่มีอากาศไม่เพียงพอ  หรือ   อากาศร้อนจัดเกินไป
 3. จากอารมณ์  เช่น  การตื่นเต้น  ตกใจกลัวมากเกินไป
            อาการ    ผู้ป่วยจะหน้ามืด  เวียนศีรษะ  ใจสั่น  หน้าซีด  มือเย็น  เหงื่อออกตามฝ่ามือ  ฝ่าเท้า  และบริเวณหน้าผาก  ชีพจรเบาและเร็ว  อาจจะล้มลงและหมดสติ  แต่มักไม่มีอาการชัก
            การปฐมพยาบาล
    1. เมื่อรู้สึกเวียนศีรษะ  หน้ามืด  ให้ผู้ป่วยนั่งลงสูดหายใจยาวๆ
    2. เมื่อหมดสติ
    · ให้ผู้ป่วยนอนราบ  ศีรษะต่ำกว่าตัวเล็กน้อย            ·  ขยายเสื้อผ้าให้หลวมๆ
    ·  พัดให้ผู้ป่วย                                                            ·  ห้ามคนมุงดู
    ·  ให้ดมแอมโมเนีย                                                    ·  เช็ดเหงื่อตามฝ่ามือ  ฝ่าเท้า  และหน้าผาก
    ·  ถ้าไม่ฟื้น  ควรให้ความอบอุ่น  ทำการผายปอด  นำส่งโรงพยาบาล
2.  ลมแดด     (Sun – Stroke  หรือ  Heat  Stroke)
            สาเหตุ   ลมแดดเกิดขึ้นได้เนื่องจากการอยู่กลางแจ้ง  ได้รับแสงแดดกล้าอยู่เป็นเวลานานๆ  ทำให้ศูนย์การควบคุมความร้อนในร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ตามปกติ  การขับเหงื่อลดลง  ในขณะที่การสร้างความร้อนของร่างกายเกิดตามปกติเป็นผลทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ
            อาการ    ปวดศีรษะ  เวียนศีรษะ  อึดอัด  คลื่นไส้  อาเจียน  กระหายน้ำ  หน้าแดง  ผิวหนังแห้ง  แต่ไม่มีเหงื่อออก  ชีพจรเต้นแรงเร็ว  หายใจลึกเร็ว  อุณหภูมิ  105°- 110° F
            การปฐมพยาบาล
            1. นำผู้ป่วยเข้าที่ร่ม  มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
      2. เปลื้องหรือคลายเสื้อผ้า  สิ่งที่รัดออกให้หลวม  ถอดผ้าหนาๆ ออก  เพื่อให้ความร้อนระบายออกจาก    ร่างกายได้ง่าย  และให้นอนหงายศีรษะสูง
            3. เช็ดตัวด้วยน้ำเย็น วางกระเป๋าน้ำแข็งบนศีรษะ   เพื่อช่วยลดอุณหภูมิให้กลับไปอยู่ในระดับปกติ โดยเร็ว
            4. ไม่ควรดื่มน้ำร้อน  ชา  กาแฟ  เหล้า  ฯลฯ
            5. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาล
3. ลมร้อน
            สาเหตุ   เนื่องจากมีการสูญเสียน้ำและเกลือออกจากร่างกายมาก  เพราะอยู่ในที่ที่มีความร้อนสูงมาก  และร่างกายมีความอ่อนเพลียร่วมด้วย  เช่น  ในโรงกลึง  โรงหล่อ  โรงทำขนมปัง  เป็นต้น
            อาการ    ปวดศีรษะ  วิงเวียน  อ่อนเพลีย  คลื่นไส้  หน้าซีด  ชีพจรเต้นเบาเร็ว  อุณหภูมิต่ำกว่าปกติเล็กน้อย  บางคนอาจหมดสติไป
            การปฐมพยาบาล
            1. ปลดหรือคลายสิ่งที่รัดร่างกายให้หลวม  เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสบายขึ้น
            2. รีบนำผู้ป่วยเข้าอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
            3. ให้นอนหงาย  ยกเท้าสูงกว่าศีรษะ
            4.  ถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัวดี   ให้ดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือ  ¼ - ½  ช้อนกาแฟ ต่อน้ำ 1 ถ้วย  เพื่อเป็นการทดแทน    เกลือแร่ที่สูญเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อ
      5.  ถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัวดี  อาจให้ดื่ม  น้ำชา  กาแฟ  เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต  ให้ดีขึ้น แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ก็ไม่ควรให้
      6.  ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้รีบส่งโรงพยาบาล
     4. ลมบ้าหมู  (Epilepsy)
                สาเหตุ   ผู้ที่เป็นลมชักหรือลมบ้าหมู  มักเคยมีประวัติชักมาก่อน  ในบางคนอาจไม่ถึงกับชัก  เพียงแต่หมดสติไปชั่วครู่แล้วก็หายไป  แต่บางคนอาจมีอาการรุนแรงถึงกับชักและหมดสติได้
                อาการ     
        1. เมื่อมีอาการก็จะหมดความรู้สึกแล้วล้มลง   บางคนอาจร้อง
        2. ตัวแข็งเกร็ง  มือกำแน่น  เท้าเหยียดแข็ง  ขากรรไกรขบกัน  และเคลื่อนไปมา
        3. หยุดหายใจ  หน้าจะแดงจัด  และบวม
        4. ต่อมาจะชักกระตุกทั้งตัว  ใบหน้าเขียวคล้ำ  น้ำลายฟูมปาก
        5. บางครั้งกล้ามเนื้อหน้าอาจเกร็งและหายใจลำบาก
        6. อาจปัสสาวะราด
        7. ต่อมากล้ามเนื้อจะคลายตัว  จะกินเวลาทั้งหมดประมาณ  1  นาที
        8. ต่อมาจะหมดสติ  อาจเป็นนาทีถึงหลายชั่วโมง
        9. อาจสับสน  และอาจมีพฤติกรรมแปลกๆ  หลังจากการชัก
                การปฐมพยาบาล
        1. ควรจับผู้ป่วยนอนราบกับพื้น ไม่ควรให้นอนบนเตียงเพราะอาจชักกระตุก  ตกเตียงได้
          2. ระวังผู้ป่วยจะกัดลิ้น  ป้องกันโดยใช้ไม้แบนๆ   หรือด้ามช้อนพันผ้าสอดใส่ในปากระหว่างฟันบนกับฟันล่าง (อย่าใส่นิ้วเข้าไปในปากผู้ป่วย)   และระวังอย่าให้ศีรษะหรือหน้ากระแทกกับพื้น  ใช้ผ้าหรือหมอนหนุนศีรษะ
        3. ป้องกันผู้ป่วยไม่ให้มีอันตรายจากสิ่งกีดขวางต่างๆ  เช่น  โต๊ะ  เก้าอี้  หม้อน้ำร้อน   ควรเลื่อนออกไปให้ห่างผู้ป่วยเพื่อกันศีรษะหรือแขนขาไปกระแทก
                           4. ตรวจดูกระเป๋าของผู้ป่วย  ซึ่งอาจมีข้อมูลอะไรที่จะช่วยบอกโรคประจำตัวของผู้ป่วยได้
                           5. อยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลา  ถ้าชักนานเกิน  1 – 2  นาที  ให้รีบนำส่งโรงพยาบาล
                           6. เมื่อหยุดชัก  จับผู้ป่วยให้อยู่ในท่าพักฟื้น  ถ้าผู้ป่วยหลับเกิน 15 นาที  ให้รีบนำส่โรงพยาบาล

                สาเหตุ ของการชักมีได้หลายสาเหตุ  เช่น  เด็กตัวร้อน  ไข้สูง  ไข้สมองอักเสบหรือมีความผิดปกติอย่างอื่น  หรือได้รับอุบัติเหตุที่สมอง  ลมบ้าหมู  เป็นต้น  เมื่อพบคนชัก  ให้ทำการช่วยเหลือดังนี้
    1. ให้ความช่วยเหลือคล้ายกับผู้ป่วยชักจากล้มบ้าหมู
    2.  ต้องระวังการกัดลิ้นหรือทางเดินหายใจอุดตัน
    3.  รีบนำส่งโรงพยาบาล

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

http://senarak4.blogspot.com สร้างเมื่อ 1 ม.ค.2557 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้กำลังพลรับรู้ข่าวสารและเผยแพร่กับผู้ที่สนใจ การแสดงผลหน้าจอจะต่างกันระหว่างคอมพิวเตอร์กับมือถือ